รีวิว + สปอยล์เต็ม: Frankenstein (2025) — ตำนานอสุรกายฉบับ Guillermo del Toro

เรื่องย่อ
เรื่องราวเปิดบนเรือสำรวจที่ติดอยู่ท่ามกลางน้ำแข็งในอาร์กติก ลูกเรือพบชายคนหนึ่งใกล้ตายที่อ้างว่าตัวเองชื่อ “วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์”
และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ถูกไล่ล่าโดย “สิ่งมีชีวิต” ที่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย และแข็งแกร่งเหนือมนุษย์
สิ่งมีชีวิตตนนั้นเรียกร้องให้วิกเตอร์ออกมารับผิดชอบในฐานะ “ผู้สร้าง”
จากจุดนี้เอง หนังพาเราย้อนกลับไปสู่ชีวิตของวิกเตอร์ ตั้งแต่บ้านตระกูลแพทย์ผู้มั่งคั่ง การสูญเสียแม่ การถูกพ่อกดขี่ ไปจนถึงความหมกมุ่นกับการ “ลบล้างความตาย”
เขากลายเป็นศัลยแพทย์อัจฉริยะที่กล้าท้าทายศีลธรรม จนในที่สุดก็สร้างชีวิตใหม่ขึ้นได้จริง – ชีวิตที่ไม่เคยขอเกิด และไม่รู้ว่าตัวเองมีไว้เพื่ออะไร.

บทความรีวิว
ถ้าเวอร์ชันคลาสสิกของ Frankenstein คือหนังสยองขวัญเกี่ยวกับอสุรกาย เวอร์ชันปี 2025 ของ Guillermo del Toro
ก็เป็น “โศกนาฏกรรมครอบครัว” ที่สวมชุดกอธิกดาร์กสวยงามมากกว่าจะเป็นหนังผีไล่ฆ่า
เดล โตโรเอาโครงเรื่องของ Mary Shelley มาขยายด้าน “พ่อลูก” อย่างจัดเต็ม —
วิกเตอร์ไม่ได้แค่สร้างสัตว์ประหลาด แต่สร้าง “ลูกที่เขาไม่เคยรับผิดชอบ” ขึ้นมาจริง ๆ
งานภาพสไตล์เดล โตโรยังคงเล่นกับแสงสีแบบโบสถ์ยุโรปเก่า ปราสาทหิน ชุดวิคตอเรียน และสถาปัตยกรรมที่ทั้งสวยและหลอนในเวลาเดียวกัน
ทุกเฟรมเหมือนภาพวาดกอธิกที่กำลังเคลื่อนไหว เหมือนเอาโทน Crimson Peak มาผสมกับความหม่นของ Pan’s Labyrinth
แต่แทนที่จะมีสัตว์ประหลาดเยอะ หนังกลับเลือกโฟกัสไปที่ “ความว่างเปล่าในสายตา” ของปีศาจเพียงตนเดียว.
Oscar Isaac ทำให้วิกเตอร์กลายเป็นตัวละครที่ทั้งน่าหลงใหลและน่าตบ —
เขาฉลาดเกินคนทั่วไป มีความเป็นอาร์ทิสต์สูง แต่ก็เห็นแก่ตัวจนพร้อมเหยียบทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง
ขณะที่ Jacob Elordi ในบท Creature คือท็อปฟอร์มจริง ๆ การเคลื่อนไหวทุลักทุเลแต่ทรงพลัง
สีหน้าแบบคนที่ไม่รู้ว่าตัวเอง “สมควรได้ความรักหรือเปล่า” คือหัวใจของหนังทั้งเรื่อง.
สปอยล์เต็ม
- จากอาร์กติกสู่วัยเด็กของวิกเตอร์:
บนเรือที่ติดน้ำแข็ง วิกเตอร์เล่าอดีตของตัวเอง — แม่เสียชีวิตตอนคลอดน้องชาย วิลเลียม
พ่อหมอผู้มีชื่อเสียงกลับโปรดน้องมากกว่าเขา ทำให้วิกเตอร์เติบโตมาพร้อมความรู้สึก “ไม่เคยพอ” ในสายตาพ่อ. - การทดลองแหกขนบแพทย์:
วิกเตอร์เป็นศัลยแพทย์ดาวรุ่งในเอดินบะระ เขาทดสอบการชุบชีวิตศพต่อหน้าคณะกรรมการแพทย์
ผลคือเขาถูกไล่ออกจากสถาบัน แต่ก็ได้รับข้อเสนอจากพ่อค้าอาวุธชื่อ Harlander ที่ให้ทุนและหอคอยเก่าเพื่อทำวิจัยต่อ. - กำเนิด “สิ่งมีชีวิต”:
วิกเตอร์และน้องชายช่วยกันประกอบร่างจากอวัยวะหลายศพ ก่อนช็อตสายฟ้าเปลี่ยนซากเนื้อให้กลายเป็นสิ่งที่ “หายใจได้”
ช่วงแรก Creature เคลื่อนไหวเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน แต่มีแรงเกินมนุษย์ และจดจำเสียง/ภาพได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อเกิดเหตุรุนแรงในหอคอยและการตายของวิลเลียม ทุกอย่างหลุดจากการควบคุม. - เด็กที่ถูกทิ้ง:
Creature พยายามใช้ชีวิตในโลกภายนอก – แอบดูครอบครัวชาวบ้าน, พยายามช่วยเหลือ, อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
แต่รูปลักษณ์ที่ผิดรูปทำให้ทุกคนหวาดกลัว ก่อนจะนำไปสู่โศกนาฏกรรมเกินกว่าจะย้อนคืน. - การล้างแค้นและการสารภาพ:
เมื่อ Creature รู้ว่าตัวเองเป็นผลจากความหลงตัวเองของวิกเตอร์ มันกลับไปหา “พ่อ” เพื่อให้สร้างคู่หูให้
การปฏิเสธของวิกเตอร์นำมาสู่การทำลายทุกอย่างที่เขารัก รวมถึงเอลิซาเบธ
ท้ายที่สุดสิ่งมีชีวิตลากวิกเตอร์ไปจนถึงอาร์กติก เพื่อปิดฉากความสัมพันธ์พ่อ–ลูกที่ป่วยบิดเบี้ยวนี้. - ฉากจบในน้ำแข็ง:
หลังวิกเตอร์เล่าเรื่องจบ สิ่งมีชีวิตปรากฏตัวบนเรือเป็นครั้งสุดท้าย และเลือกชะตากรรมของตัวเองในดินแดนน้ำแข็ง
ทิ้งให้ผู้ชมตั้งคำถามว่า “ระหว่างมนุษย์กับอสุรกาย ใครโหดร้ายกว่ากันแน่”.
บทวิจารณ์
จุดเด่น
- โทนกอธิกจัดเต็มสไตล์ del Toro:
งานศิลป์และโปรดักชันดีไซน์สวยระดับพิพิธภัณฑ์ ทุกฉากในหอคอย ห้องทดลอง สุสาน และเรืออาร์กติก
เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ชวนจ้อง — ใครชอบ Crimson Peak หรือ Pan’s Labyrinth น่าจะฟิน. - การแสดงของ Jacob Elordi:
Creature ไม่ใช่แค่ “ปีศาจ” แต่คือเด็กที่ถูกโลกทำร้าย เขาเล่นด้วยร่างกายสูงโย่งที่ดูทั้งน่าสงสารและน่ากลัว
แววตาที่ถามตลอดเวลาว่า “ผมเกิดมาทำไม” ทำให้ตัวละครนี้กลายเป็นหัวใจอารมณ์ของเรื่อง. - อ่านใหม่ประเด็นพ่อ–ลูก:
เดล โตโรดันมิติความเป็น “พ่อที่เฮงซวย” ของวิกเตอร์ขึ้นมาแบบโต้ง ๆ
ทำให้หนังพูดถึงความรุนแรงในครอบครัว การทอดทิ้ง และเด็กที่โตมาโดยไม่รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าอย่างไร.
จุดที่อาจขัดใจ
- จังหวะเล่าเรื่องเนิบแบบกอธิกดราม่า:
คนที่คาดหวังหนังสยองหรือไล่ฆ่าตลอดเรื่องอาจรู้สึกว่าช่วงกลางเรื่องช้ามาก เน้นบทพูดและดราม่าครอบครัว. - ไม่ใช่ “หนังผี” ตามที่บางคนคิด:
เดล โตโรเคยบอกเองว่านี่ไม่ใช่ pure horror แต่คือเรื่องดราม่าที่ใช้ร่างกายอสุรกายเป็นสัญลักษณ์
ถ้าอยากได้ความหลอนได้เลือดแบบโหดสุด ๆ อาจรู้สึกว่าหนังใจดีเกินคาด.
สรุป: Frankenstein (2025) คือการตีความตำนานคลาสสิกในแบบที่ “ทั้งโรแมนติก ทั้งโหดร้าย”
เป็นหนังที่พูดถึงความเป็นพ่อ ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราสร้าง และเด็กที่ไม่เคยถูกเลือก
ใครที่ชอบงานเดล โตโรสายดาร์กดราม่า นี่คือหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด และเหมาะมากกับการดูในโรงหรือจอใหญ่แล้วปล่อยตัวเองจมไปกับบรรยากาศกอธิกเต็ม ๆ.
